วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

การนอน

ควรจะนอนหลับแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพอดี
จริงๆแล้ว จะไม่มีคำตอบเป็นจำนวนชั่วโมงที่ตายตัวลงไปว่าเราจะต้องนอนกันคืนละกี่ชั่วโมงจึงจะเรียกได้ว่าเพียงพอ จำนวนชั่วโมงเหล่านี้จะมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน กรรมพันธุ์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องได้ด้วย แต่ถ้าพูดถึงช่วงเฉลี่ยแล้ว อาจกล่าวได้ว่า จำนวนชั่วโมงของการนอนหลับในผู้ใหญ่จะตกอยู่ราวๆ 6-9 ชั่วโมง ซึ่งในบางคนอาจพบแตกต่างจากนี้ได้ เช่น บางคนอาจรู้สึกว่าได้นอน 5 ชั่วโมง ก็รู้สึกสดชื่นแล้ว แต่บางคนอาจต้องการถึง 10 ชั่วโมง จึงจะรู้สึกสดชื่น เพราะฉะนั้นจำนวนชั่วโมงว่าจะนานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้ว เราจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สามารถทำงานได้ตลอดวันหรือไม่ต่างหาก
นอนกรนเกิดจากอะไร
เสียงกรนเป็นเสียงเนื่องจากการสั่นสะเทือนของลมหายใจ ผ่านช่องทางเดินหายใจส่วนบนที่แคบลง และเปลี่ยนรูปร่างไป เกิดได้ทั้งในขณะหายใจเข้าและหายใจออก การนอนกรนในตัวของมันเองไม่เป็นอันตราย แต่มันอาจนำไปสู่การเกิดการหยุดหายใจในขณะหลับได้ การที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น การใช้ยานอนหลับหรือสารในกลุ่มกลุ่มนี้ อาจจะทำให้คนที่นอนกรนมานานกลายเป็นผู้ที่มีปัญหา sleep apnea ได้ (การหายใจหยุดเป็นพักๆในขณะหลับ) นอกจากนี้ข้อมูลทางการศึกษา บ่งชี้ว่าการนอนกรนเสียงดัง และเรื้อรังนั้น อาจสัมพันธ์กับการเกิดความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจได้
จำเป็นต้องรักษาการนอนกรนหรือไม่
ถ้าการนอนกรนนั้น พบร่วมกับปัญหาทางโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง หรือโรค sleep apnea (การหยุดหายใจเป็นช่วงๆในขณะหลับ) หรือพร้อมกับมีอาการง่วงนอนผิดปกติในระหว่างวัน การนอนกรนนั้นควรได้รับการรักษา ซึ่งก่อนที่จะวางแผนการรักษานั้น จำเป็นที่คนๆนั้น จะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากห้องปฏิบัติการการนอนหลับเสียก่อน เพื่อประเมินความรุนแรง และปัจจัยที่มีผลต่อการนอนกรน เช่น ท่าของการนอน การรักษาการนอนกรนที่มีปัญหาร่วมกับการเกิด sleep apnea (การหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ในขณะหลับ) นั้น มีหลายวิธีขึ้นกับความรุนแรงของโรค เช่น อาจใช้เครื่องมือที่พ่นลมผ่านจมูกเข้าสู่ทางเดินหายใจ เพื่อลดปัญหาการอุดตันของทางเดินหายใจ ซึ่งจะเป็นตัวรักษาอาการหายใจผิดปกติได้ โดยตรงใน ผู้ที่มีปัญหา sleep apnea (การหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ในขณะหลับ) หรืออาจใช้การฝึกท่านอนให้นอนตะแคง ถ้าการนอนหงายมีผลทำให้เกิดการนอนกรน นอกจากนี้อาจใช้เบ้าหล่อใส่ไว้ในช่องปากเพื่อกันลิ้นตก หรือปรับตำแหน่งของกรามในขณะที่เรานอนหลับ เพื่อลดปัญหานอนกรน

ผลเสียของการนอนไม่พอ

นอนไม่พอ...ทำให้อ้วน


การที่คนเราอดนอนมาก ๆ จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพ และควบคุม สัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกายน้อยลง ทำให้ร่างกายรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากขึ้น นอกจากนี้การนอนไม่เพียงพอนั้น ยังส่งผลต่อฮอร์โมนเลปติน ซึ่งเป็นสารที่สื่อต่อระบบประสาทว่า ควรจะอิ่มได้เร็วหรือช้าเท่าใด ตามความต้องการอาหารของร่างกาย เมื่อระดับเลปตินลดลงจากการนอนน้อย ผู้คนจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น แม้จะได้กินอาหารจนได้พลังงานเพียงพอแล้วก็ตาม
นอนไม่พอ...ทำให้ขาดภูมิต้านทาน
ส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากการอดกลับอดนอนนั่นคือ หากสมากชิกในบ้านของคุณหรือตัวคุณเองที่ อดนอนมาก ๆ จะหน้าตาซีดเซียว ไม่มีน้ำมีนวล เจ็บป่วยง่ายขึ้นเมื่อเจอเชื้อโรคเพราะการนอนไม่พอจะส่งผล ต่อเม็ดเลือดขาว และกลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ของร่างกายนั่นเอง
นอนไม่พอ...ทำให้เป็นมะเร็ง
การนอนไม่พออาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งที่มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องวงจรการหลั่ง ฮอร์โมนแปรปรวน เนื่องมาจากการอดนอนและ แสงรบกวนในเวลากลางคืน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งเต้านม ฉะนั้น นอกจากเราควรจะนอนให้เพียงพอแล้ว เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย
นอนไม่พอ...ทำให้โง่
ศ.เจอร์เกน ซัลเลย์ นักวิจัยพฤติกรรมการนอนหลับ วิทยาลัยแพทย์รีเกนส์เบิร์ก เปิดเผยว่า การอดนอนส่งผลกระทบเลวร้ายต่อร่างกาย จะทำให้ประสิทธิภาพการจดจำลดลง ดังนั้นควรนอนพักผ่อนอย่างน้อยคืนละ 7 ชั่วโมงเพื่อความมีสุขภาพที่ดี
          อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีงานวิจัยหรือไม่ คนส่วนใหญ่ย่อมรู้กันดีว่า การที่คนเราอดนอนนั้นทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอยู่แล้ว แต่เมื่อมีงานวิจัยออกมายืนยันถึงผลร้ายของการอดนอนแบบนี้ คนที่นอนไม่พอหรือยังบริหารเวลาในชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัวไม่ดี ควรตระหนักและเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียตั้งแต่วันนี้ ก่อนจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวของคุณ

ใช้คอมพิวเตอร์มาก วุ้นในลูกตาเสื่อม


คน ที่เล่นคอมพิวเตอร์เกือบทุกคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม'


ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ถึง 14 ล้านคนแล้วจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์

นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะคนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก้อเป็น มากขนาดไหน?

อาการก็คือ==คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะ จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา

ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ)และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด(ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?)

สาเหตุของโรคนี้คือ ==' การใช้สายตามากเกินไป' (เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอยที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม (คุณฟังไม่ผิดหรอก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ)
ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก?ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่,อ่านบทความ! ,อ่านหนังสือหรืออะไรก้อตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่าง
ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่ แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณ์เป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส(เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป ) ( และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ)
การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับ ลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ

แต่ การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน
แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้นมันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู)

มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตา จะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆๆ อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง
(ที่นิยมก้อคือตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก้อ ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ


สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย'

2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนตมันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย

3.การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา 'ทำให้สายตาเสีย '

4.การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 'ทำให้สายตาเสีย'

( ข้อนี้ คล้ายๆ กับ การเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำแล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)

5.การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !!

(จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!)เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว)

แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น

ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)



วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

โรคเกาต์

โรคเกาต์ ก็เป็นอีกโรคหนึ่ง ที่เกิดจากปัญหาในเรื่องอาหารการกิน วิธีการป้องกันและบรรเทา อาการเจ็บป่วยจากโรคเกาต์ที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีพิวรีนสูง เพราะว่าจะทำให้เกิดการอักเสบของข้อขึ้นอีก
โรคเกาต์ เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดตามข้อชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกัน ของกรดยูริกภายในข้อ และประกอบกับการที่มีปริมาณกรดยูริกสูงด้วย คนแต่ละวัย ก็มีระดับกรดยูริกในเลือดที่แตกต่างกันได้ เช่น ผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน จะมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าคนในวัยอื่นๆ และนอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคเกาต์ มากกว่าผู้หญิงอีกด้วย
โดยปกติแล้ว ร่างกายจะได้กรดยูริกมาจาก 2 แหล่ง คือ

1.
ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง โดยการสลายตัวของเซลล์ตามอวัยวะต่างๆ แต่ในบางคนที่ป่วยเป็นโรค เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ธาลัสซีเมีย จะทำให้มีการสลายตัวของเซลล์ ในร่างกายที่มาผิดปกติ
2.
จากการกินอาหารบางชนิดที่สารพิวรีนสูง ซึ่งสารชนิดนี้เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะย่อยสลายกลายเป็นกรดยูริก ซึ่งสารพิวรีนนี้พบมากใน เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ

คนที่เป็นโรคเกาต์ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการจะค่อยๆ กำเริบ โดยเจ็บปวดที่ข้อเดิมก่อน แล้วจะเป็นที่ข้ออื่นๆ ตามมา จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อทั่วร่างกาย อาการปวด จะถี่ขึ้นและนานขึ้น จนเกิดอาการปวดตลอดเวลา ถ้าควบคุมไม่ได้ จะพบว่า ข้อที่เคยอักเสบบ่อยๆ กลายเป็นปุ่มก้อนขึ้นมา เนื่องจากการสะสมของ กรดยูริกภายในข้อจำนวนมาก จนบางครั้ง ข้อที่ปวดนั้น เกิดการแตกออก และมีสารขาวๆ คล้ายชอล์ก หรือยาสีฟัน ไหลออกมากลายเป็นแผลเรื้อรัง และในที่สุดข้อต่างๆ จะค่อยๆ พิการ และใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดนิ่วในไตตามมาได้อีกด้วย

อาหารที่มีพิวรีนน้อย ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ผัก และผลไม้เกือบทุกชนิด (0-50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
อาหารที่มีพิวรีนปานกลาง ได้แก่ ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู เนื้อวัว ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง ถั่วลันเตา หน่อไม้ ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม (50-100 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
อาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก ปลาดุก ปลาซาร์ดีน ปลาไส้ตัน กุ้ง ไข่ปลา น้ำต้มกระดูก น้ำสกัดเนื้อ ซุปก้อน กะปิ ชะอม กระถิน สะเดา เห็ด (150 มิลลิกรัมขึ้นไปต่ออาหาร 100 กรัม)

วิธีป้องกันและบรรเทา อาการเจ็บป่วยจากโรคเกาต์ที่ดีที่สุด คือ การระมัดระวัง ในการเลือกรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีพิวรีนสูง เพราะว่าจะทำให้เกิด การอักเสบของข้อขึ้นอีก อาหารที่ผู้เป็นโรคเกาต์ ควรรับประทานให้มากคือ

1.
อาหารจำพวกข้าว แป้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอ ในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ต้องเผาผลาญโปรตีน ที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ เพื่อให้เป็นพลังงาน เพราะว่าการเผาผลาญโปรตีนในลักษณะนี้ จะทำให้มีการสลายกรดยูริกออกมา ในกระแสเลือดมากขึ้น
2.
คนเป็นโรคเกาต์ ควรระวังไม่รับประทานอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะว่าเนื้อสัตว์ เป็นแหล่งของโปรตีน ทำให้เกิดกรดยูริกได้มาก เช่นเดียวกันกับการทานอาหารไม่เพียงพอ แล้วร่างกายใช้โปรตีน ที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อนั่นเอง จะทำให้เกิดอาการกำเริบได้
3.
การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยป้องกันการสะสมของกรดยูริก และทำให้เกิดการขับกรดยูริก ทางปัสสาวะมากขึ้น และสามารถป้องกัน โรคนิ่วในไตได้อีกด้วย
4.
นอกจากนี้ การรับประทานผัก และผลไม้ชนิดต่างๆ ให้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยให้ปัสสาวะมีสภาวะเป็นด่าง ลดความเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการขับปัสสาวะมากขึ้น

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ไอศกรีม

                                          ไอศกรีมทอด


                                       ไอศกรีมแท่ง


                             ไอศกรีมชาเขียว

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

สงกรานต์ถนนข้าวสาร

ถ้าสงกรานต์ปีนี้ผู้ที่อยู่กรุงเทพยังไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดีลองไปที่งานสงกรานต์นานาชาติ
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอยู่ใน กทม.นี่เองจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากประเพณีสงกรานต์ที่ถนนข้าวสารกรุงเทพมหานคร




สงกรานต์ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย เป็นประเพณีที่มีการ รดน้ำ ขอพร เพื่อ แสดง ความ
กตัญญู และ เคารพ รัก ต่อ ผู้ใหญ่ เป็น งาน ที่ สดชื่น ชุ่ม ฉ่ำ และ เต็ม ไป ด้วย ความ สนุกสนาน
ถ้าเอ่ยถึงสถานที่เล่นน้ำสงกรานต์  ในกรุงเทพฯ ก็จะหนีไม่พ้น “ ตรอกข้าวสาร ” ถือเป็นสถานที่ผูกขาดกับเทศกาลเล่นน้ำของชาวกรุงเอาเป็นว่าเมื่อถึงช่วงสงกรานต์ สถานีโทรทัศน์ทุกช่องเป็นต้องรายงานการเล่นน้ำของชาวกรุงเทพฯจาก “ ตรอกข้าวสาร ” ทุกปี ความสนุกสนานในการเล่นสาดน้ำทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติหลั่นไหลมาแน่นขนัดตั้งแต่ช่วงสายๆ ไปจนถึงมืดค่ำ  สายน้ำที่ต่างสาดกันจนเปียกทั้งตัว (บางครั้งใช้น้ำแช่น้ำแข็งเย็นมาก) ทำให้ความร้อนใช่วงบ่ายกลางเดือนเมษาบรรเทาลงได้ช่วงเวลาหนึ่ง ยิ่งระยะหลังมีการรณรงค์เลนน้ำสงกรานต์ให้ถูกวิธี งดการเล่นแป้ง น้ำผสมสี ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง และการดื่มแอลกอร์ฮอ จึงทำให้ “ ตรอกข้าวสาร ”น่าจะเป็นสถานที่เล่นน้ำสงกรานต์ที่น่าสนใจที่หนึ่ง และขอเชิญวนทุกท่านช่วยกันรณรงค์ ทำให้สิ่งที่ดี และเล่นน้ำกันอย่างสุภาพใครไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนน่า จะลองไปเล่นสงกรานต์นานาชาติที่ถนนข้าวสารซึ่งถือเป็นแหล่งที่พักอาศัยชั่วคราวของชาวต่างชาติที่มา ท่อง เที่ยว ใน ประเทศไทย ชาว ต่าง ชาติ เห็น คน ไทย เรา สาดน้ำ กัน อย่าง ครึกครื้น จึง มา ขอ ร่วม สนุก ด้วย มิตรภาพ อัน งดงาม ที่ ไม่มี เส้น แบ่ง ระหว่าง ชาติ ระหว่างภาษา ผูก เชื่อม กัน ผ่าน รอย ยิ้ม และ สายน้ำ อัน ฉ่ำ เย็น เรื่อง ราว ของ เทศกาล ที่ งดงาม และ สนุกสนาน บนถนน แห่งนี้ ซึ่งมีมานานกว่า 20 ปี จึง ถูก บอก เล่า ปาก ต่อ ปาก จน ทำให้ งาน สงกรานต์ ทั่ว ประเทศรวม ทั้ง ที่ ถนน ข้าวสาร มีชื่อ เสียง ดังเป็นที่รู้จัก ไป ทั่ว โลก
สงกรานต์ บน ถนน สาย นี้ ไม่ เป็น รอง ใคร สนุก กัน ได้ สุด เหวี่ยง ใน แบบ ไทยๆ ไม่มี แป้ง ไม่มี แอลกอฮอล์และ นอกจาก การ เล่น สาด น้ำ กัน อย่าง ชุ่ม ฉ่ำ แล้ว ตลอด ถนน สาย นี้ ก็ ยัง มี ทั้ง เวที การ แสดง ที่ ตื่น ตา ตื่น ใจเพิ่ม ความ ครึก ครื้น อีก เป็น ทวีคูณนอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร ร้าน อร่อย บรรยากาศ ดี แถวๆ ถนน ข้าวสาร รวม อาหารหลาย เชื้อ ชาติ ร้าน แรก ร้าน ชัม บา รามา เป็น บ้าน ไม้ สอง ชั้นมี ระเบียง นั่ง ผ่อน คลาย มีอาหาร อร่อย ปอ เปี๊ยะ ชีส สลัด ยำกุ้ง คา โบ นารา ใคร ชอบ พิซซ่า ร้าน พิซซ่า ลัน ตา พิซซ่า ร้อนๆใคร อยาก ลอง อาหาร อิสราเอล ร้าน อยู่ ใกล้ๆ พิซซ่า ลัน ตา
คอ อาหาร ฝรั่ง ต้อง ร้านนิวส์ โจ ใคร คิดถึง ข้าว แกง ร้านนี้ไม่มี ชื่อ อยู่ตรง ข้าม ส เวน เซ่น ส์ และ ปาก ซอย รามบุตรีอร่อย เด็ดรู้ ก่อน เดิน ทางสงกรานต์ถนนข้า้วสาร เริ่มตั้งแต่ใ่นวันที่12 เมษายน เวลา
18.00 - 24.00 น. ยาว ไป ถึง วัน ที่ 15 เมษายนของทุกปี

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

กระต่าย


วิธีเลี้ยงกระต่าย
1   กระต่ายป้ายแดง กระต่ายที่เพิ่งได้มาใหม่ ๆ ในวันแรก อาจจะมีการการตื่นสถานที่อยู่เล็กน้อย เพราะเนื่องจากย้ายบ้านมาวันแรก ๆ อาจจะไม่ค่อย ยอมกินอาหาร ไม่อึ ไม่ถ่าย  นั้น เป็นเรืองปกติสำหรับกระต่ายที่ย้ายบ้านวันแรก เราต้องทำให้เค้าคุ้นเคย กับสถานที่ก่อน ซัก 2-3 วัน ถ้ากระต่ายเริ่มกินอาหารแล้ว แสดงว่าเค้า ไม่ตื่นที่แล้ว เอา ออกมาอุ้มมาเล่นได้  แต่พยายาม เล่นกับเค้าเบา ๆ ก่อน อย่าเพิ่มเอามา ฟัดแรง ๆ   เราแนะนำให้ เล่นกับเค้าเบา ๆ ก่อน ในสัปดาห์แรก ๆครับ และท่าที่ทุกคนชอบอุ้มกระต่ายหงายท้องเพราะชืนชอบความน่ารัก เราไม่แนะนำให้ทำ สำหรับคุณแม่มือใหม่ เพราะไม่ใช่ท่าที่กระต่ายชอบ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ชำนาญแล้วเรายกเว้น
การเลือกการว่างตำแหน่งกรง   เป็นสิ่งสำคัญที่สุด  อย่าวางกรงในตำแหน่งที่โดนแสงแดด / ฝน โดยตรงเพราะ จะทำให้กระต่าย ถึงแก่ชีวิตได้  เราควรวางกรงกระต่ายในตำแหน่งที่อุณหภูมิคงที่ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนให้อากาศ ไม่ต่างกันเกินไป ยิ่งอากาศบ้านเรา เดียวร้อนเดียวหนาว  เดียวฝนเดียวแดด  กระต่าย ที่มาใหม่ ๆ ป่วยได้ ควรเลี้ยงในที่ร่มก่อนจะดีกว่า ถ้าถามว่ากลางวันเราไปทำงานกลางคืนเปิดแอร์กระต่ายจะอยู่ได้ หรือไม่ ตอบว่าได้ครับ แต่ตอนที่เราไม่อยู่ควรให้อากาศถ่ายเทบาง หรือจะเปิดพัดลมก็ให้เปิดส่ายไปมา อย่าเปิด ตรง ๆ นอกจากกระต่ายของท่านจะได้ลมพัดเย็นสบายแล้ว กลิ่นของกระต่ายก็จะลดลงไปด้วยสบายทั้งคุณและกระต่าย..
 อาหารการกิน     สิ่งแรกที่ต้องทำและห้ามลืมคือ ถามร้านค้าที่ท่านซื้อมาว่าให้กระต่ายกินอาหาร ยี่ห้อ อะไร อยู่ สูตรไหน  เคยกินของสดหรือไม่  ถ้ายังไม่ถึง 6 เดือน ให้งดของสดไปก่อน ให้กินแต่อาหารเม็ดกับหญ้าแห้งไปก่อนดีกว่า  หญ้าแห้งที่กินได้ ก็ คือ หญ้า อัลฟาฟ่า  ทีมโมที่  แพงโกล่า แดดเดียว  เพราะถ้ากระต่ายไม่เคยกินแล้วให้เค้ากินอาจจะท้องเสียได้ ต้องมารักษา อีก ถ้าอยากจะเปลี่ยนอาหารเม็ด จากที่ร้านให้ ท่านไป ท่านเปลี่ยนได้แต่หลังจากที่เลี้ยงไปได้ ซัก 1 สัปดาห์แล้ว และวิธีการเปลี่ยนอาหารกระต่ายก็คือ ค่อย ๆ เอา อันใหม่มาผสมกับอันเก่า  กระต่ายมีเวลาปรับตัวนานเท่าไหร ยิ่งดี 
 4    ถ้าเราต้องออก ไปข้างนอกต้องทำอย่างไร   เมื่อเราเตรียมสถานที่ ไว้ ให้ กระต่ายของเราเรียบร้อยแล้ว หลาย ๆ ท่านชอบถามว่า ถ้า เราไม่อยู่บ้านหรือ ออก ไปทำงาน ต้องทำอย่างไร สมสมุติว่าถ้าเราออกไปทำงานหรือว่าเรียน ให้เอากระต่ายไว้ในรงจะดีที่สุดครับ เพราะว่าคุมพฤติกรรมได้ง่าย  เพราะถ้าปล่อยออกมาเดินเพ่นพ่าน อาจจะหากระต่ายของเราไม่เจอ     ไม่ต้องกลัวเค้าเครียดเพราะว่าเราไม่ได้ขังเค้าไว้ตลอดเวลา เดียวกลับมาก็ปล่อยวิ้งเล่นได้ปกติแล้ว   คอยดูว่าถ้าเราไม่อยู่ให้ เค้ามีอาหารและน้ำอย่างพอเพียง ถ้ากลัวเค้าร้อนก็เปิดแอร์ ทิ้งไว้ (สำหรับท่านที่ไม่เครียดเรื่องค่าไฟ )  แต่ถ้าจะเปิดพัดลมก็ให้ เปิด ส่ายไปมา อย่าเปิดแอร์ หรือ พัดลมใส่ตัวกระต่ายโดยตรงเพราะจะทำให้  กระต่ายเป็นหวัดและไม่สบายได้   ถ้าเราไม่อยู่ เช่นไปเทียวต่างจัวหวัดหลายวัน วิธี ที่ดีที่สุดคือ ฝากกระต่ายไว้กับคลีนิค  หรือฝากไว้กับเพื่อนที่เลี้ยงกระต่ายด้วยกัน จะดีที่สุด
 นิสัยของกระต่าย
กระต่ายเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด โดย ถ้าสังเกตดูดีๆก็จะเห็นเขาทำความสะอาด ตัวเอง โดยเขาจะเลีย ขาของเขา เลียมือ และ เท้า หรือ เอาเท้าลูบที่หน้า หรือตัว เพื่อทำความสะอาดตัวของเขา กระต่ายเป็นสัตว์ที่ชอบระแวง เนื่องจากเป็นสัตว์ประเภทถูกล่า หากคุณต้องการให้เค้าเชื่อง คุณต้องทำให้เค้าเชื่อใจและไว้ใจคุณก่อน อย่าอุ้มหรือเล่นแรงๆในขณะที่เค้าขัดขืน ให้คอยดูอยู่ห่างๆไปก่อน เข้าใกล้ได้บ้างบางเวลาทำเป็นไม่สนใจเค้า เมื่อใดที่คุณทำให้เค้าไว้ใจและรู้สึกปลอดภัย เค้าจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาคุณเอง
1. การกินมูลตัวเอง  หลายๆคนอาจเคยเห็นกระต่ายกินมูลของตนเอง ไม่ต้องตกใจไปค่ะ เพราะนั่นเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของเค้า พฤติกรรมนี้เรียกว่า Coprophagy โดยจะเกิดในช่วงเช้า มู,ที่ถ่ายออกมาจะเป็นก้อนนิ่มๆติดกันเรียกว่า อึพวงองุ่น ซึ่งกระต่ายจะกินอึพวงองุ่นเข้าไป นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลอง และพบว่า การกินอึพวงองุ่นเข้าไปจะช่วยให้ภาวะในลำไส้เป็นปกติ เพราะจะมีแบคทีเรียที่ดี กลับเข้าสู่ลำไส้ และแบคทีเรียในลำไส้กระต่ายสามารถผลิตวิตามินบี ซึ่งเมื่อกระต่ายกินอึเหล่านี้เข้าไปก็จะได้รับวิตามินบีด้วย กระต่ายจะก้มลงกินเมื่อขับถ่ายออกมา ลองสังเกตุดูค่ะ ลูกกระต่ายที่ยังไม่อย่านม อาจกินอึของแม่ แม้ว่าจะไม่ใช่อึพวงองุ่น แต่ก็มีส่วนช่วยระบบย่อยอาหารของลูกกระต่ายให้มีภาวะสมดุลขึ้น
2. การส่งเสียง  โดยปกติกระต่ายจะไม่ค่อยส่งเสียงร้อง ยกเว้นเวลาตกใจหรือกลัวมากๆ บางตัวอาจหวีดร้องดังๆ ออกมา แต่ก็ไม่เสมอไป กระต่ายเลี้ยงที่บ้านของเรา อาจมีพฤติกรรมขู่ในลำคอ จนออกมาเป็นเสียง อุ๊กๆๆๆ หรือฮื่อๆๆๆ แล้วแต่การได้ยินของแต่ละคน ซึ่งมักจะหมายความว่าอย่ามายุ่งกะชั้นนะ กระต่ายท้องบางตัวอาจหวงตัวและร้องแบบนี้เช่นกัน แต่ก็มีกระต่ายบางตัว เวลาตกใจก็ร้องแบบนี้ เวลาจะขอกินก็ร้องแบบนี้ เวลาไม่พอใจก็ร้อง หรือเวลาที่ชอบสุดๆ คือลูบหัวให้ก็ร้อง เวลาชอบอกชอบใจอะไรสักอย่าง เวลากินก็จะทำเสียง อึกๆๆๆ ในลำคอ ทั้งนี้ขึ้นกับว่ากระต่ายของเรานิสัยอย่างไร ไม่เสมอไปว่ากระต่ายร้องจะต้องไม่สบายเสมอไปค่ะ
3. การนอน  กระต่ายเป็นสัตว์หากินกลางคืน จะตื่นตอนกลางคืนเพื่อหากิน และจะหลับในเวลากลางวัน แต่ที่เราไม่เห็นเค้านอนเพราะ กระต่ายบางตัวจะนั่งนิ่งๆ สักพัก โดยไม่หลับตา และนั่นคือการนอนของเค้า เพราะกระต่ายมีสัญชาติญาณในการระวังตัวสูง เค้ามักตกอยู๋ในสถานะผู้ถูกล่าเสมอ เค้าจึงจะระวงัตัวตลอดเวลา แต่ก็อีก กระต่ายบางตัวทำท่าหลับได้ใจมาก หลับๆๆๆ หลับคาถ้วยอาหารไปก็มี เพราะเค้ารู้สึกปลอดภัย และสุขใจที่จะนอนแบบสบายๆค่ะ
4. การก้าวร้าว จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุปนิสัยของกระต่าย การก้าวร้าวอาจเกิดจากการตามใจจนติดเป็นนิสัย, การถูกรังแก, ความต้องการเป็นเจ้าของอาณาเขต ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการตามใจ และการถูกรังแก จนฝังใจมากกว่า กระต่ายจะแสดงออกโดยการกัดเวลายื่นมือเข้าไป หรือกัดเวลาได้ของไม่ถูกใจ การตามใจมากไป เช่นเค้าคว่ำอาหารเราก็เปลี่ยนใหม่ให้ทุกครั้ง เมื่อทำอาหารหก เราไม่เคยดุ แถมปลอบซ้ำแล้วเอาอาหารใหม่มาให้ บางทีกระต่ายอาจอยากได้อาหารเพิ่ม และกัดเรา ส่วนใหญ่เราจะรีบให้อาหารใหม่ทันที นั่นถือเป็นการกระทำที่ผิด เพราะยิ่งเค้ากัดเรา เราให้ใหม่เค้าจะเข้าใจว่านั่นคือสิ่งที่ถูก เราควรค่อยๆสอน และพูดกับเค้า ให้หยุดกัดจึงให้ใหม่ เค้าสามารถเรียนรู้ได้ค่ะ บางครั้งกระต่ายที่ถูกรังแก จนกลายเป็นความหวาดระแวง 
5. การกัดแทะสิ่งของ กระต่ายเป็นสัตว์ฟันแทะ เค้าจำเป็นต้องแทะ เพื่อให้ฟันที่ขบกันมีการสึก และฟันไม่งอกยาวจนเกินไป  แต่บางครั้งกระต่ายน้อยของเราก็เริ่มแทะสิ่งของที่ไม่ควรแทะ โดยเฉพาะสายไฟ สิ่งที่เราทำได้คือ เก็บของเหล่านั้นให้ออกจากรัศมีกระต่ายน้อยของเราซะ เพื่อป้องกันการกัดแทะ แต่กระต่ายบางตัวน่ารัก ไม่มีแทะสักจุด เราอาจหาเศษไม้ เช่น กิ่งไม้แห้งแข็งๆ ทิ้งไว้ในกรง เพื่อให้กระต่ายใช้ลับฟัน ระวังการกัดแทะพวกพลาสติก ซึ่งกระต่ายน้อยอาจกินเข้าไป ทำให้เกิดอาการท้องอืดได้                    
6. การขุด กระต่ายเป็นนักขุดตัวยงเลยล่ะค่ะ หากลองปล่อยลงพื้นดินเมื่อไรต้องมี ขุดๆๆๆ จนมอมแมมกันไปข้าง เพราะสมัยก่อน (ก่อนที่จะมาเป็นกรตะยบ้าน) เค้าต้องขุดโพรงอยู่ โดยโพรงจะมีความลึก และสามารถซ่อนตัวได้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมกระต่ายเราชอบขุดจังเลย ทั้งๆที่พื้นเป็นพื้นปูนแข็งขุดยังไงก็ไม่ลึด แน่นอน แต่การขุดบอกได้หลายอาการนะคะ เช่น การขุดเพื่อสร้างรัง ถ้าเกิดในแม่กระต่ายท้องล่ะก็เตรียมรังคลอดให้เค้าได้เลย อีกไม่นานจะมีกระต่ายน้อยๆออกมาค่ะ การขุดพื้นทำให้เล็บกระต่ายสั้นลง ไม่ต้องมาเสียเวลาตัด ในกรณีขุดบนพื้นปูนไม่เรียบนะคะ  
7. การเคาะเท้า เป็นการบอกสัญญาณว่าจะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น โดยกระต่ายจะใช้เท้าหลังเคาะพื้นให้เกิดเสียง เมื่อกระต่ายเคาะเท้าเราควรสังเกตุรอบๆกรงว่ามีเหตุใดเกิดขึ้นรึเปล่า มีสัตว์ไม่ได้รับเชิญอยู่บริเวณใกล้ๆหรือไม่ เพระกระต่ายจะมีสัญชาตญาณมากกว่าเรา และอีกกรณีเมื่อมรการจับคู่ผสมพันธุ์ เมื่อกระต่ายเพศผุผสมพันธุ์เสร็จ จะมีพฤติกรรมเคาะเท้าด้วยเหมือนกัน ไม่ควรให้กระต่ายมรการเคาะเท้าบ่อยนัก เพราะอาจทำให้เกิดแผลที่ฝ่าเท้าได้
8. การแสดงอาณาเขต สามารถเกิดได้ทั้งเพศผู้และเพศเมีย โดยจะเอาคางถูสิ่งของตามบริเวณนั้นๆ ตัวผู้จะมีพฤติกรรมหวงอาณาเขตมากกว่าตัวเมีย ซึ่งเป็นไปได้ยากที่จะให้กระต่ายตัวผู้ 2 ตัวมาอยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะเติบโตด้วยกันมา แต่ไม่เสมอไปนะคะ บางคนก็เลี้ยงตัวผู้กรงเดียวกันโดยไม่ตีกันก็มี ขึ้นกับนิสัยของกระต่ายเราด้วย กระต่ายตัวผู้จะมีต่อมกลิ่นอยู่ และจะถูๆกลิ่นนั้นไปทั่วบริเวณ และจะคอยดูแลไม่ให้กระต่ายอื่นๆเข้ามาได้ ยกเว้นกระต่ายเพศตรงข้าม เมื่อเราจะนำกระต่าย 2 ตัวมาอยู๋ที่เดียวกัน ควรให้กระต่ายทำความรูจักกันนอกสถานที่ก่อน และควรเป็นที่กลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของอาณาเขต และจัดการทำความสะอาดบริเวณที่กระต่ายตัวเดิมอยู่ เพื่อลบกลิ่นอาณาเขตเก่า
                                    ภาษากายของกระต่าย


- ดมที่ตัวเรา – อาจแสดงความรำคาญ หรือ อยากจะคุยกับเรา   (แบบว่าอยากรู้จักอ่ะ )
- คำรามในลำคอ – กำลังโกรธ หรือกะลังตั้งท่ากัดเรานี่แหละ    ( เตรียมหนี )
 - ส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัว – แสดงว่ากระต่ายน้อยของเรากำลัง   ได้รับอันตราย หรืออาจตกอยู่ในภาวะอันตรายอยู่ เช่น อาจเผชิญหน้า    อยู่กับสุนัข หรือแมว เราควรรีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับกระต่ายน้อย    ของเรา
 - วิ่งวนรอบๆเท้าของเรา – เป็นการแสดงสัญชาตญาณทางเพศตาม ธรรมชาติของกระต่าย หรือกำลังมีความรัก
 - ฉี่ไปรอบๆ – กระต่ายเพศผู้ที่ยังไม่ได้ตอน จะแสดงอาณาเขตของตัว    เองเพื่อดึงดูดตัวเมีย ( ว่าข้านี่แหละเจ้าถิ่น ) แตjกระต่ายตัวเมียบางตัว    ก็อาจทำเช่นนี้เช่นกัน
 - การเอาคางถูๆๆ – ที่ใต้คางกระต่ายจะมีต่อมกลิ่นอยู่ ซึ่งกระต่าย    จะเอาคางถูๆ สิ่งของ หรือบริเวณที่ตนเองไปเพื่อแสดง อาณาเขต     พฤติกรรมนี้เป็นได้ทั้งเพศผู้และเพศเมีย
 - การตั้งทองเทียม – จะเกิดขึ้นเฉพาะในเพศเมีย โดยกระต่ายจะสร้างรัง  โดยดึงขนจากบริเวณต่างๆ เช่นไหล่ หลัง และ ท้อง และกินน้อยลง    อาการทุกอย่างจะเหมือนกระต่ายที่ใกล้คลอดลูกจริงๆ เพียงแต่กระต่าย   ที่ท้องเทียมจะไม่มีลูก ออกมา  อาหารนี้อาจเกิดขึ้นเพียง 1 วัน หรือ    มากสุด 3 วัน ( ถ้าไม่อยากให้กระต่ายน้อยถอนขนจนหมดสวย    แนะนำให้เอาหญ้า หรือผ้าไปให้เค้าเยอะๆ )
 - กระโดด ๆๆ อย่างอารมณ์ดี – แสดงว่ากระต่ายน้อยของเรากำลัง    อารมณ์ดี
 - เล่น – กระต่ายจะมีพฤติกรรมชอบดึงหรือขว้างสิ่งของ (เราอาจเอาลูก  บอลกระดิ่งไปวางให้ก็ได้ค่ะ เพราะเค้าจะคาบแล้วเขวี้ยงเล่น) หรือแม้  กระทั่งวิ่งไปรอบๆบริเวณบ้าน
 - อย่ามายุ่งกะที่นอนฉัน – กระต่ายบางตัวอาจมีอาการโกรธ    หรือไม่พอใจเวลาเราเข้าไปใกล้ๆ บ้านหรือรังนอน อาจส่ง   เสียงคำรามเบาๆในลำคอ เวลาคุณทำความสะอาดกรงของเค้า
 - กระทืบเท้า – เขาอาจเจอสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา หรืออาจกำลัง คิดว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย ( เช่นมีสุนัข หรือแมวเดินมา )
 - มาดึงที่เสื้อผ้าของเรา – แปลว่าอยากให้เราสนใจเค้าบ้าง    หรืออยากให้เราเล่นด้วย
โรคที่เกี่ยวกับกระต่าย



1. พาสเจอร์เรลโลลิส (Pasturellosis)
เป็นโรคที่พบบ่อยและเป็นปัญหาที่สำคัญในกระต่าย โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ พาสเจอเรลลา มัลโตซิดา (Pasturella multocida) ซี่งทำให้กระต่ายป่วยและมีอาการ แตกต่างกันตามอวัยวะที่ติดเชื้อดังนี้
1.1 หวัด กระต่ายจะจามบ่อย ๆ มีน้ำมูกไหลออกจากช่องจมูก หายใจไม่สะดวก จมูกและเท้าหน้าจะเปียกชุ่มและมีน้ำมูกตดเนื่องจากกระต่ายใช้เท้าหน้าเช็ดจมูก รักษาโดย ให้ยากิน เช่น เพนนิวิลลิน วี (Penicillin V ) หรือถ้าไม่แน่ใจให้รีบนำไปปริกษาสัตวแพทย์
1.2 ปอดบวม มักเกิดจากการเป็นหวัดแล้วลุกลามเข้าสู่ปอด กระต่ายจะหายใจ ลำบาก หอบ และอาจหายใจด้วยท้อง ริมฝีปากและเปลือกตาจะมีสีคล้ำ ในระยะแรกจะมีไข้สูง เบื่ออาหารและนอนหมอบนิ่ง ลูกกระต่ายถ้าเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่จะตาย สำหรับกระต่ายใหญ่จะมี โอกาสรอดเพียง 75 % ดังนั้นถ้าพบอาการเช่นนี้ในกระต่ายควรรีบนำกระต่ายไปพบ สัตวแพทย์ทันที
1.3 ตาอักเสบ มักเกิดหลังจากที่กระต่ายเป็นหวัด เนื้องจากกระต่ายชอบใช้เท้าหน้า เช็ดจมูก ทำให้เชื้อโรคจากจมูกเข้าสู่ตาได้ง่าย อาการเริ่มแรกคือหนังตาและตาขาว อักเสบ บวมแดง บางครั้งมีหนอง ส่วนแก้วตาจะอักเสบและขุ่นขาว ถ้าไม่รีบรักษาอาจทำให้ตาบอดได้
การรักษา ล้างตาให้สะอาดโดยใช้น้ำเกลืออ่อนๆ (0.85%) หรือน้ำยาล้างตา แล้วใช้ยาปฎิชีวนะในรูปครีม หรือใช้ยาหยอดตาของคนทาจนกว่าจะหาย
1.4 อัณฑะอักเสบ เกิดจากติดเชื้อที่อัณฑะ ทำให้ลูกอัณฑะขยายใหญ่ และมีหนองเมื่อ จับที่อัณฑะจะรู้สึกร้อนกว่าปกติ การอักเสบมักลุกลามไปทื่อวัยวะเพศ ทำให้สามารถติดต่อได้ โดยการผสมพันธุ์ การรักษามักไม่ได้ผลจึงควรคัดทิ้ง
1.5 มดลูกอัดเสบ เกิดจากการติดเชื้อหลังคลอดลูกหรือจากการผสมพันธุ์ ผนังมดลูกจะเกิดการอักเสบ มีหนองภายในโพรงมดลูกและอาจพบหนองถูกขับออกมาทาง อวัยวะเพศ มักมีไข้สูง เมื้อคลำตรวจจะพบว่ามดลูกขยายใหญ่ การรักษาทำได้ยากมากและ กระต่ายมักจะเป็นหมันจึงควรคัดทิ้ง
2. สแตฟฟิลโลคอคโคซีส (Staphylococcosis)
โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ สแตฟฟิลโลคอคคัส ออเรียล (Staphylococcus aureus) ทำให้กระต่ายป่วยและมีอาการดังนี้
2์.1 ฝีหนองใต้ผิวหนัง เกิดจากการติดเชื้อที่ผิวหนัง ทำให้เป็นหนองซึ่งมีเปลือกหุ้ม เมื่อฝีสุกเปลือกฝีส่วนหนึ่งจะบางลงและแตกออกมีหนองไหลออกมา
การรักษา ต้องรอให้ฝีสุกและเจาะเอาหนองออก ขูดเปลือกฝีด้านในให้สะอาด แล้วทาด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน
2.2 เต้านมอักเสบ เต้านมจะร้อน บวมแดง มีไข้ กระต่ายตัวที่เป็นอย่างรุนแรง เต้านม จะมีสีคล้ำ เย็น และแข็ง ถ้าพบอาการเช่นนี้ควรคัดทิ้งหรือถ้าญม่แน่ใจควรรีบปริกษาสัตวแพทย์
2.3 ข้ออักเสบ เกิดจากมีบาดแผลที่ผิวหนังบริเวณฝ่าเท้าแล้วเชื้อโรคลุกลามเข้าสู่ ข้อเท้าทำให้ข้อบวมแดง เจ็บปวด กระต่ายอาจมีไข้และมักพบบาดแผลที่ฝ่าเท้า
การรักษา ทำความสะอาดแผล แล้วทาด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน ถ้ามีหนองในข้อจะ รักษาได้ยากและอาจจำเป็นต้องตัดขาเหนือข้อที่อักเสบ ควรป้องกันโดยการดูแลพื้นกรงอย่า ให้มีส่วนแหลมคมยื่นออกมาตำเท้ากระต่าย
3. โรคบิด (Coccidiosis)
เกิดจากเชื้อโปรโตชัวพวกไอเมอร์เรีย ได้แก่ Eimeria stiedac, E. irresdua, E.magna ฯลฯ การติดต่อจะเกิดจากโอโอซิส (Oocyst) ของเชื้อที่ปนมากับอาหารและน้ำ
อาการ ถ้าเป็นน้อยจะไม่แสดงอาการ แต่ถ้าเป็นมากซึ่งมักพบในลูกกระต่ายจะทำให้ น้ำหนักลด ท้องเสีย อาจถ่ายเป็นน้ำหรือมีเลือดปน และอาจทำให้ตายได้
การรักษา เลือกใช้ยาในกลุ่มซัลฟา (Sulfa) หรือแอมโปรเลียม (Amprolium )
4. โรคพิซเชอร์ (Tizzer 's disease)
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชชื่อ แบซิลลัส ฟิลลิฟอร์มิส (Bacillus pilliformis) มักพบ ในกระต่ายที่มีอายุ 7-12 สัปดาห์มากที่สุด
อาการ ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำหรือเลือด ในรายที่เกิดอย่างเฉียบพลันจะมีเลือดออก จากลำไส้ใหญ่ กระต่ายจะตายเนื่องจากเสียน้ำและเลือดมาก
การรักษา ให้ยาออกซี่เตตร้าชัยคลีน (Oxytetracyclin) ละลายน้ำให้กิน
5. โรคติดเชื้อ อี.โค.ไล (Colibacillosis)
เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเชื้อ E.coli ในทางเดินอาหาร กระต่ายจะมีอาการท้องเสีย อย่างรุนแรงและตายได้
การรักษา แก้ไขตามอาการ อาจให้ยาปฎิชีวนะเพื่อลดจำนวนแบคทีเรียในลำไส้ ให้น้ำเกลือ ลดอาหารข้น เพิ่มอาหารหยาบ
6. เอ็นเทอร์โรท๊อกซีเมีย (Enterotoxemia)
เกิดจากเชื้อคลอสติเดียม (Clostridium spp.) ทำให้กระต่ายท้องเสียหรือตาย อย่างเฉียบพลัน การรักษาเช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออีโคไ
7. ไรในหู (ear mange or ear canker)
เกิดจากไรพวกโชรอบเตส แคนิคุไล(Psoroptes caniculi)
อาการ จะเห็นแผ่นสีน้ำตาลคล้ายขี้หูซ้อนเป็นชั้น ๆ ที่ด้านในของใบหู ถ้าสังเกตุดี ๆ จะพบตัวไรขนาดเล็กสีน้ำตาลจำนวนมาก กระต่ายที่เป็นโรคนี้จะคันหูทำให้มันสั่นหัวและใช้เท้าเกาหู บางตรังเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ทำให้มีหนองและมีกลิ่นเหม็น
การรักษา ทำความสะอาดด้านในของใบหู เช็ดด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกใชด์(H202) แล้วทาด้วยขี้ผึ้งกำมะถันให้ทั่ว ควรป้องกันโดยการตรวจหูกระต่ายเป็นประจำและทำความ สะอาดกรงและอุปกรณ์การเลี้ยงเสมอ ๆ
8. ไรที่ผิวหนัง (skin mange)
เกิดจากไรพวก Sarcoptes scabei , var. cuniculi, Notedes cati var. caniculi
อาการ ผิวหนังเป็นสะเก็ดหนาและย่น ขนร่วง พบมากที่ปลายจมูก และขอบใบหู
การรักษา ขูดผิวหนังให้สะเก็ดหลุดออก ทาด้วยขี้ผึ้งกำมะถัน ถ้ายังไม่หายควรปรึกษา สัตวแพทย์ การป้องกันและควบคุมทำเช่นเดียวกับโรคไรในหู


วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

ศูนย์รับบริจาคเงินและสิ่งของ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้

ภาคใต้อ่วมอีกครั้ง! หลังพายุฝนตกหนักหลายวัน ทำให้หลายพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศไทยน้ำท่วมหนัก ถนนไม่สามารถสัญจรไปมาหลายสาย ประชาชนหลายครอบครัวบ้านพัง ไร้ที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรเสียหายหลายร้อยไร่ และบางบ้านถึงกับจะสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะน้ำเพิ่งจะท่วมไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ผ่านไปไม่กี่เดือนก็ท่วมอีกแล้ว!!! แถมรายงานข่าวแจ้งอีกว่า ครั้งนี้ท่วมหนักกว่าปลายปีที่ผ่านมาซะอีก

          อย่างไรก็ตาม ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าไปให้ความช่วยเหลือพี่น้องทางภาคใต้บางส่วนแล้ว แต่ก็ยังไม่ทั่วถึง และขณะนี้ยังมีหลายพื้นที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สิ่งของต่าง ๆ กระปุกดอทคอม จึงขอเป็นสื่อกลางรวมสถานที่ขอบริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องที่เดือดร้อน ทางภาคใต้ค่ะ โดยท่านใดสนใจที่จะบริจาคสิ่งของ หรือเงิน เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ของผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ สามารถเลือกบริจาค หรือต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ตามรายละเอียดข้างล่างที่ทีมงานรวบรวมไว้ได้เลยค่ะ

1. สำนักนายกรัฐมนตรี
          ชื่อบัญชี "กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสำนักนายกรัฐมนตรี”
          ธนาคารกรุงไทย สาขารทำเนียบรัฐบาล
          บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 067-0-06895-0
 2. สภากาชาดไทย
          ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย" ธนาคารไทยพาณิชย์  สาขาสภากาชาดไทย บัญชีกระแสรายวัน หมายเลขบัญชี 045-304190- 6 โดยหลังบริจาคแล้วสามารถแฟกซ์ใบนำฝาก พร้อมชื่อที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์  ส่งถึงหัวหน้าฝ่ายการเงิน สำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย โทรสาร 0 2256 4069 หรือที่ finance@redcross.or.th อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน
          หรือสามารถนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ไปบริจาคได้ที่สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ โทรศัพท์  0 2251 7614-5 โดยชุดธารน้ำใจสำหรับบรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่ม 1 ชุดประกอบด้วย
          ข้าวสาร (5กก. )1 ถุง / ข้าวหอมมะลิกระป๋อง (150 กรัม) 6 กระป๋อง / บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (55 กรัม) 30 ซอง /  ปลากระป๋อง (155 กรัม) 6 กระป๋อง / ผักกาดดอง (140 กรัม) 6 กระป๋อง / ปลาราดพริก (155 กรัม) 6 กระป๋อง / น้ำพริก (50 กรัม) 2 กระปุก / ไก่ทอดกระเทียม (80 กรัม) 2 กระป๋อง / เครื่องดื่มช็อกโกแลตผงปรุงสําเร็จรูป 35 กรัม (1x 6 ซอง) 2 ห่อ / น้ำดื่ม 600cc. (1x 12 ขวด) 1 แพ็ค / ไฟฉายพร้อมถ่าน 1 กระบอก / เทียนไข (1x2 แท่ง) 1กล่อง / ไฟแช็ก 1 อัน / โลชั่นทากันยุง (40 กรัม) 1 ขวด / ยาชุดสามัญประจําบ้าน 1 ชุด / ยาแก้น้ำกัดเท้า (10 กรัม) 1 หลอด / เกลือไอโอดีน (500 กรัม) 1 ถุง/ ถุงดำใหญ่และเล็ก เพื่อใส่ขยะอย่างละ 6 ใบ                              
 3. มูลนิธิสยามกัมมาจล – ไทยพาณิชย์
          ชื่อบัญชี "มูลนิธิสยามกัมมาจล-ไทยพาณิชย์เพื่อผู้ประสบภัยภาคใต้"
          ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่111-3-91657-8 ฟรีค่าโอนข้ามเขต ลดภาษีได้
 4. SpringNewsTV  : สปริงนิวส์
          ชื่อบัญชี "ร่วมมือร่วมใจเพื่อผู้ประสบภัย" ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนวิภาวดีรังสิต เลขที่ 196-0-75084-0  หรือบริจาคสิ่งของ น้ำดื่ม อาหารแห้ง (ขอของที่จำเป็นจริง ๆ) นำมาบริจาคได้ที่ สถานีฯ สปริงนิวส์ อาคารเล้าเป้งง้วน ชั้น 11 ถ.วิภาวดีรังสิต
 5. อาสาดุสิต
          ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ อาสาดุสิต  http://arsadusit.com/891
 6. สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส - เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ
          สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส - เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ จัดตั้ง "ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้" สำหรับผู้สนใจที่จะร่วมบริจาคสามารถบริจาคเงินและสิ่งของอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ได้ตั้งแต่วันนี้ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารทับวิภา สำนักงานใหญ่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เลขที่ 99 หมู่14 ถ.วิภาวดีรังสิต สอบถามเพิ่มเติมที่ โทรศัพท์  0-2265 5868 – 9
 7. Thai PBS
          ThaiPBS เชิญบริจาคช่วยน้ำท่วมภาคใต้ บัญชี "มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย" ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเทเวศร์ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 020-2-53333-8 
          หรือ ถ้าพี่น้องภาคใต้ ต้องการแจ้งขอความช่วยเหลือและปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ ติดต่อศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทีวีไทย ได้ที่ โทร.02-791-1113 หรือ 02-791-1385-7